Thursday, April 11, 2013

ใช้ Line บน pc ได้ ไม่ต้องสมัครในโทรศัพท์



ใช้ Line บน pc ไม่ต้องใช้แอนดรอยด์ หรือโทรศัพท์ สมัครก็เล่นได้แล้ว
โดยเราสามารถ ดาวโหลดโปรแกรมจำลองระบบปฏิบัติการ  Bluestacks  มาติดครั้งบนเครื่อง Pc
และเรายังสามารถเล่น แอพพลเคชั่นต่างๆ เสมือนเล่นในแอนดรอย หรือไอโฟน ไอแพดได้อีกด้วย 

ดาวโหลดโปรแกรมที่นี่ http://www.bluestacks.com/


Tuesday, August 9, 2011

มะละกอภาค เจ๊ง

ขอบคุณรูปภาพจาก : http://www.learners.in.th/blog/glasses/243664

                    คราวนี้จะนำประการณ์การเจ๊ง ของเกษตรกรท่านอื่นมาบอกเล่าเก้าสิบเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ท่านๆ ที่ทำการเกษตรแล้วอยากจะรู้ว่า ทำการเกษตรเนี่ยมันเจ๊งกันได้ยังไงกันบ้าง  
                   เริ่มแรกเลยกว่าที่จะมาเป็นสวนมะละกอเนี่ย เกษตรกรท่านหนึ่งได้เคยปลูกมะละกอพันธุ์ฮอนแลน ที่ว่ากันว่าได้ราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาดที่ จังหวัดสระแก้ว ต่อมาย้ายย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ จ.เลย และมองเห็นว่าน่าจะปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจได้เนื่องจากยังไม่มีเกษตรกรท่านอื่นปลูกมาก่อน ก็เลยลงทุนลงแรงปลูกมะละกอฮอลแลน บนพื้นที่ประมาณสิบกว่าไร่ ก็เหมือนกับเกษตรกรทั่วๆ ไปนั่นแหล่ะครับ เวลาทำการเกษตร มักจะทำไปตามมีตามเกิด ไม่ได้มานั่งทำบัญชีจดว่าจ่ายอะไรไปเท่าไหร่ ไม่ได้มานั่งประมาณการว่าจะต้องทำมากทำน้อยแค่ไหนจึงจะคุ้ม ไม่ได้คิดว่าถึงเวลาจะขายยังไง ไปขายที่ไหน ถ้าส่งเองน้ำมันแพงจะทำอย่างไร เรียกว่าอาศัยดวงในการทำเกษตร ล้วนๆ
                   พอถึงเวลาที่ผลผลิตพร้อมที่จะขายได้  ปรากฏว่าในท้องที่ มะละกอยังไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค

- รอคนมารับซื้อ....ถ้ามีก็ลุ้นเรื่องราคา ว่าราคาจะดีไหม ถ้าดวงไม่ดีก็เจ๊ง
- ถ้าไม่มีคนมารับซื้อ ก็เอาไปส่งตลาดเอง (ที่ไหนดีอ่ะ) ส่วนใหญ่ คุ้นเคยกับคนที่ไหน ก็ไปที่นั่นแหล่ะ
   เรื่องราคาก็ลุ้นเช่นกัน ว่าจะคุ้มกับค่าน้ำมันหรือเปล่า
- อีกทางเลือกก็คือขายปลีกเองที่ตลาดนัดในพื้นที่ (ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำกัน เพราะมีจำนวนมาก ขายให้ 
  หมดได้ยาก เสียเวลา)
- นำมะละกอมาแปรรูป ในกรณีที่ราคาไม่ดี ขายไม่ออก 

เกษตรกรของเรา เลือกที่จะนำมะละกอไปส่งตลาดเอง จากจังหวัดเลยไปส่งสินค้าที่ สกลนคร  เนื่องจากรู้จักมักจี่กับคนในตลาดและเคยเป็นขาประจำกันอยู่เเล้ว พอขายได้เงินมาก็ หักลบค่าน้ำมัน ยังไม่คิดค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรง เหลือเงิน 500 บาท  เฮ่อ ฟังแล้วเหนื่อยไหมเล่า 

แนวทางแก้

1. เกษตรกรต้องรวมกลุ่มกันให้ได้เพื่อพัฒนารูปแบบองค์ความรู้ และแบ่งปันประสบการณ์การทำสวนและสำคัญที่สุดคือ จะได้มีอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลางหรือต่อรองกับตลาดได้
2.การทำเกษตรต้องจัดสรร ปริมาณของพืชพันธุ์ และปริมาณการปลูกไม่ให้มากจนเกินไป เพื่อป้องการสินค้าล้นตลาดและทำให้ราคาตกต่ำ
3.เกษตรกรต้องเรียนรู้ที่จะลดการใช้สารเคมีให้น้อยลง หันมาใช้ปุ๋ยหมักที่ทำเองมากขึ้น หันมาทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าของผลผลิต เป็นการลดค่าใช้จ่ายกับต้นทุนการผลิตในระยะยาว และยังดีกับสุขภาพเกษตรกร ทำให้พลอยลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพอีกด้วย
4.ควรจะมีการจดบันทึก รายรับรายจ่าย เพื่อที่สามารถทำให้มองถึงการตั้งราคาขายว่าควรจะขายที่ราคาเท่าใดเกษตรกรจึงจะไม่ขาดทุน และสามารถรู้จุดที่สามารถลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้

อีกจุดหนึ่งที่อยากจะฝากถึงเกษตรกรก็คือ อย่าคาดหวังกับการช่วยเหลือของรัฐมากนัก ไม่มีอะไรครับหวังมากก็ผิดหวังมาก ..........อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน กันจะดีกว่า

ฝากถึงหน่วยงานรัฐอีกฝั่งหนึ่ง  อยากให้หน่วยงานรัฐ วิ่งเข้าหาประชาชนบ้าง และจัดการอบรมให้ความรู้ใหม่ๆ บ้าง เห็นแทบทุกปีที่ผู้ใหญ่บ้าน มาขอข้อมูล ผลผลิต ว่าใครปลูกอะไรบ้างปลูกไปเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ว่าเอาไปทำให้เกิดประโยชน์อะไร จริงๆแล้วข้อมูลเหล่านั้นก็เป็นประโยชน์มากนะครับ อย่างน้อยๆ ก็ควรจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ หาทางแก้ไขปัญหา ให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกร กันหน่อย 

จบกันเลยดื้อๆ สวัสดีครับ 555






Thursday, July 14, 2011

แก้วมังกร ภาคเจ๊ง


มาเล่าเรื่องแก้งมังกรกันดีกว่า  จะว่าไปก็เดิมๆ แหล่ะครับ เป็นพืชที่ปลูกแล้วได้ผลผลิตค่อนข้างเร็ว คือประมาณ 1 ปี ก็ ออกลูก ขายกันได้ ประสบการณ์ตรงอีกแล้วครับ

เมื่อแรกเริ่ม ปลูกแก้วมังกรเป็นเจ้าแรกๆ ใน อ.ภูเรือ ครับ ผลผลิตล็อตแรก เป็นที่สนใจมาก เพราะแก้วมังกร เป็นผลไม้ที่แปลกใหม่ ในแถบนี้ ทั้งยังมีรสชาดหวานๆ เปรี้ยวนิด พอประมาณ เมื่อประมาณ  6-7 ปีที่ผ่านมา แก้วมัง ราคาดีมาก อยู่ที่ราว 30 บาท/กก. นี่ราคาออกจากสวนเลยนะครับ ปลูกแค่ร้อยหลัก  อาทิตย์หนึ่งเก็บได้ 1 ครั้ง รายได้ ตกอาทิตย์ละ 60,000 บาท รายได้ดีทีเดียวเลยใช่ไหมครับ ตอนนั้นก็ขยายสวนปลูกเพิ่มไปด้วย ขายกิ่งพันธุ์ไปด้วย สนุกครับเห็นตัวเงินแล้วก็หายเหนื่อย พอคนเริ่มรู้จัก ก็เริ่มปลูกตามๆกันเหมือนทุกครั้งนั่นแหล่ะครับ

พอนึกออกแล้วใช่ไหมครับ เกิดอะไรขึ้น 5555
เหมือนทุกๆครั้งครับ เจ๊งครับ ตอนนี้ปลูกหลายร้อยหลัก รายได้แค่หมื่นต้นๆ หรือไม่กี่พัน ในบางงวด

เฮ่ออ  ตอนนี้แก้วมังกรจากสวน ลูกเล็ก กก. ละ 3-5 บาท  ลูกใหญ่ กก. ละ 8 บาท
เหนื่อยกับราคาจังเลยครับ ต่อไปอนาคตแก้วมังกรจะเป็นยังไงหนอ

Monday, July 11, 2011

กระทกรกภาคเจ๊ง


ต่อมาจากภาคที่แล้ว กระทกรกภาคทำเงิน คนที่เริ่มปลูกกระทกรกเจ้าแรกๆ ก็ร่ำรวยกันไป ซื้อรถ ได้บ้าน ไปเรียบร้อย พอเริ่มมีคนเห็นว่า กระทกรกคือตัวเงินตัวทอง คนก็เริ่มเห่อเจ้ากระทกรกขึ้นมากันทั้งอำเภอกันเลยทีเดียว กล้ากระทกรกขายดิบขายดี จากที่เคยทำข้าวโพด ขิง หรือพืชการเกษตรอื่นๆ ก็หันมาทำ กระทกรกกันหมด ใครๆ ก็หวังจะรวยด้วยกระทกรก ชาวบ้านต่างพากันตัดต้นไผ่ ที่มีอยู่ตามริมลำธารที่เคยร่มรื่นกลายเป็นโล่งเตียน ไม้ไผ่ที่ว่าเอามาทำเป็นค้างกระทกรก  และแน่นอนที่สุด ไม้ไผ่ก็ราคาแพงไปด้วย

กระทกรกเป็นพืชอายุสั้น ให้ผลผลิตไว ประมาณ 8 เดือน ก็ออกผลผลิต
ปีที่แล้ว กระทกรก กิโลกรัมละ ประมาณ  12 บาท
และแน่นอน เมื่อผลผลิต ออกสู่ตลาดมากขึ้น ราคา ย่อมตกต่ำลง  ข้อนี้เป็นความรู้ง่ายๆ ที่เกษตกรส่วนใหญ่ไม่เคยคิดถึงเลย หรืออาจจะรู้แต่ก็คิดว่าเอาน่า ตลาดยังมีพื้นที่อีกเยอะ

ผลเป็นไปตามที่คาดคิด คนส่วนใหญ่ในพื้นที่ปลูกกระทกรกกันแทบจะทุกหลังคาเรือน ปลูกคนละหลายร้อยหลัก หลายไร่ และทุกคนคิดว่า คราวนี้ รวยแน่ๆ ผลผลิตออกมาพร้อมๆกัน เยอะมากกกกกกกก

คนรับซื้อกระทกรกยิ้มแฉ่ง  สวยเลือกได้แล้วปีนี้  กระทกรกจากกิโลกรัมละ 12 บาท ลดลงมาเรื่อยๆ จนถึง กิโลละ บาท เลือกเฉพาะลูกสวยๆ โตๆ เท่านั้น  ชาวสวนเริ่มหน้ามืด  เวียนหัว อ้าวแล้วค่าปุ๋ยที่ซื้อด้วยเงินเชื่อมา ค่าเสาไม้ไผ่ ค่าเชือกขึงทำค้าง ยาฆ่าหญ้าอีก นี่ยังไม่คิดค่าแรงเลยนะ ค่าจ้างคนปลูกอีก โอยยยจะเป็นลม

ปัจจุบันอนุสรณ์สถานเหล่านั้น(ค้างกระทกรก)ถูกทิ้งร้างไว้ข้างถนน ผลกระทกรกที่ไม่มีใครมารับซื้อ และไม่มีการแปรรูปเพื่อขายเลย ...ว่าแล้วก็คิดไปถึงงานแก้วมังกรที่จะจัดขึ้นเร็วๆนี้ที่........ น่าจะเอากระทกรกมามีส่วนร่วม เพื่อแก้ไขปัญหากระทกรกขายไม่ออกบ้างนะ  น่าอ่อนใจที่ไม่มีคนที่มีวิสัยทัศน์ อยู่ในองค์กรที่จะมาช่วยเหลือปัญหาเหล่านี้เลย  เพราะจุดเด่นของงานนี้ก็คงจะมีแค่ การแข่งขันกินแก้วมังกร และหมอลำซิ่ง เฮ้อ คิดแล้วอ่อนเพลีย

ปล. สรุปว่าปีนี้ ข้าวโพดและขิง มีราคา เพราะคนปลูกน้อย  เมื่อไม่นานมานี้มันสำปะหลังราคาดี คนแห่กันปลูกอีกแล้ว คนปลูกทีหลังเตรียมเจ๊งแน่นอนหมอมีฟันธง อิอิ

Thursday, May 19, 2011

ใบบัวบกกับความจำ

ผมคนหนึ่งที่เป็นคนที่ไม่รักการทานผักเอาเสียเลย ยิ่งตอนเด็กๆที่โดนพ่อบังคับกินผัก ผัก ๆๆๆๆ แทบทุกครั้งที่นั่งล้อมวงทานข้าว ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเจ้าผักพวกนี้น่ารังเกียจจัง  แต่พอโตขึ้นความรู้ใหม่ๆก็บังเกิดขึ้น ตามบทความสุขภาพต่างๆเพราะผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบออกกำลังกาย กับเป็นคนชอบอ่านนั่น นี่ โน่น ไปเรื่อยเริ่มมองเห็นความรักที่พ่อบังคับกินผักมากขึ้น ผมรักพ่อที่สุดเลย รู่งี้พ่อน่าจะอธิบายให้ฟังมั่งนะว่าทำไมต้องกินผัก ผมจะได้กินตั้งกะเด็กๆ เข้าเรื่องหน่อยละกันครับวันนี้ผมจะมาเล่าถึงเจ้าผักใบเขียวตัวหนึ่งที่ผมว่า กินยากเลยล่ะ แต่ก็ยังดีกว่ากระเทีมสดนะ นั่นก็คือ ใบบัวบก  ครับ

ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของคนไทยเลยครับ เป็นพืชเลื้อยคลุมดิน ปลูกง่ายจะโยนลงพื้นให้เกิดเอง ขึ้นแปลงปลูกเหมือนผักหรือจะจับยัดกระถางตั้ง แขวนได้ทั้งนั้นครับ ชอบอยู่กลางแจ้งมีแสงถึง

 มาดูประวัติกับชื่อที่เป็นทางการของใบบัวบกกันครับ
มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ คือ Centella asiatica และมีชื่อภาษาอังกฤษ คือ Tiger's herb ซึ่งมาจากการที่เสือบาดเจ็บ มักจะลงกลิ้งไปกลิ้งมาบนต้นบัวบกที่เลื้อยปกคลุมดิน เพื่อรักษาแผลให้ตัวเอง อ้าวที่แท้เสือก็ใช้แก้ฟกช้ำเหมือนคนด้วยแหะ


ผู้คนส่วนมากทราบกันว่าเป็นสมุนไพรมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน แต่ในทางการแพทย์แผนโบราณยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณด้านการบำรุงประสาท ลดความบกพร่องในเรื่องการเรียนรู้และความจำ



จากการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและฤทธิ์ป้องกันภาวะสมองเสื่อมของบัวบก ในวิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสรีรวิทยาทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ของคุณธนียา หาวิเศษ ในปี พ.ศ. 2549
ทดลองให้สารสกัดน้ำบัวบกแก่หนูตั้งแต่ 100, 300 และ 600 ม.ก. ต่อน้ำหนักตัว (ก.ก.) เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่าสารสกัดบัวบกขนาด 100 ม.ก. ต่อน้ำหนักตัว (ก.ก.) มีฤทธิ์คลายความกังวล นอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดขนาด600 ม.ก. ต่อน้ำหนักตัว (ก.ก.) มีผลเพิ่มการเรียนรู้และความจำของหนูที่ใช้ทดลองดังนั้น การศึกษานี้จึง สนับสนุนความน่าเชื่อถือในสรรพคุณของบัวบกตามแนวทางการแพทย์แผนโบราณ ดังกล่าว
สมุนไพรไทยใกล้ตัวที่มีประโยชน์ หาซื้อง่าย หรือจะปลูกเองก็ไม่ยุ่งยากอย่างบัวบก สามารถนำมาประกอบอาหารรับประทานได้หลากหลาย โดยนำมาทำเป็นผักจิ้ม ผักเคียง หรือคั้นแล้วดื่มน้ำจากใบบัวบก ก็บำรุงสมองได้ง่ายๆ ด้วยวิธีธรรมชาติ แถมราคาประหยัดอีกด้วย

นั่นแฟนใครที่เป็นคนขี้หลงขี้ลืมโดยฌฉพาะสาวๆ อย่าลืมแสวงหามาทานนะครับ เพราะนอกจากช่วยเรื่องบำรุงสมองแล้ว การทานผักสดยังช่วยระบบขับถ่ายและช่วยลดความอ้วนได้ด้วยครับ

Tuesday, February 15, 2011

กระเจี๊ยบ ประโยชน์มากมายที่ไม่ใช่ลูกเจี๊ยบ


กระเจี๊ยบ เป็นพืชล้มลุกในฤดูฝน เป็นผักที่ปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลรักษาก็เจริญเติบโตได้ ปลอดภัยจากสารพิษ ต้นสูงประมาณ 2 เมตร ดอกกระเจี๊ยบสีเหลืองสามารถใช้เป็นไม้ประดับ มีผลเป็นฝักยาวประมาณ 3-4 นิ้ว มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินซี ไนอะซีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hibiscus sabdariffa L. อยู่ในวงศ์ของ MALVACEAE ชื่อสามัญว่า Jamaica Sorrel, Red Sorrel, Roselle, Rozelle ส่วนชื่ออื่นเรียกว่า กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว (กลาง) ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง (ตาก) ส้มปู (เงี้ยว แม่ฮ่องสอน) ส้มเก็ง (เหนือ) ส้มพอเหมาะ (เหนือ) ส้มพอดี (อีสาน)

กระเจี๊ยบมีสรรพคุณแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน กลีบรองดอกของกระเจี๊ยบมีสารสีแดงจำพวก anthocyanin ทำให้มีสีม่วงแดง เช่น สาร cyanidin, delphinidin และมีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น ascorbic acid, citric acid, malic acid และ tartaric acid กรดเหล่านี้ทำให้กระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว และยังพบมีวิตามินเอ Pectin และแร่ธาตุอื่นๆ ได้แก่ แคลเซียมในปริมาณสูงฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เป็นต้น ใบและยอดอ่อนมีวิตามินเอ แคลเซียม และฟอสฟอรัสในปริมาณสูง ส่วนที่ใช้ประโยชน์ทางยา ราก ลำต้น ใบ ดอก กลีบเลี้ยง เมล็ด

ราก: แก้พยาธิตัวจี๊ด

ลำต้น: แก้พยาธิตัวจี๊ด

ใบ: รสเปรี้ยว ละลายเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ ทำให้โลหิตไหลเวียนดี ช่วยย่อยอาหาร หล่อลื่นลำไส้ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย บำรุงธาตุ ต้นชะล้างแผล หรือตำพอกฝี แก้พยาธิตัวจี๊ด

ดอก: ลดไขมันในเลือด ลดความดัน ละลายเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้ไอ ทำให้สดชื่น ลดไข้ ขับน้ำดี แก้พยาธิตัวจี๊ด

กลีบเลี้ยง: แก้ความดันโลหิตสูง ลดไขมันในเลือด แก้กระหายน้ำ แก้นิ่ว รักษาแผลในกระเพาะ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้เส้นเลือดตีบตัน แก้พยาธิตัวจี๊ด

เมล็ด: รสเมา บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ แก้ดีพิการ แก้อ่อนเพลีย เป็นยาระบาย ฆ่าพยาธิตัวจี๊ด


สรรพคุณทางยาของกระเจี๊ยบ


-กลีบเลี้ยง บดเป็นผงใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อน 1 ถ้วยชา ดื่มเช้า กลางวันและเย็น รักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน และลดไขมันในเลือด ป้องกันการจับตัวของไขมันในเลือด แก้อ่อนเพลีย บำรุงธาตุ ช่วยระบาย ลดกรดยูริกในปัสสาวะ ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเกาต์ ซึ่งต้องการขับกรดในเลือดออกมากับปัสสาวะ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ตำราไทยใช้ใบและยอดอ่อนกับปัสสาวะ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ตำราไทยใช้ใบและยอดอ่อนแก้ไอ มีวิตามินเอ สามารถต้านอนุมูลอิสระ


-เมล็ด ใช้เมล็ดแห้งบดละเอียดเป็นผงผสมน้ำหรือต้มน้ำดื่ม ลดไขมันในเลือด บำรุงธาตุ ขับน้ำดี ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย


-ยอดและใบ ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี แก้นิ่ว ลดไข้ ละลายเสมหะ แก้ไอ ขับปัสสาวะ หล่อลื่นลำไส้ ขับเมือกมันในลำไส้ลงสู่ทวารหนัก ใช้ตำพอกฝี หรือต้มเอาน้ำมาล้างแผล บำรุงเลือด และบำรุงธาตุ


ปัจจุบันมีการนำเอากระเจี๊ยบมาผลิตเป็นเครื่องดื่มมากมาย อาทิ ชาแดงจากกระเจี๊ยบที่มีสรรพคุณช่วยให้ระบบหายใจดีขึ้น บำรุงสายตา นมเปรี้ยวกระเจี๊ยบแดง นอกจากจะได้ประโยชน์จากนมแล้ว สีแดงที่ได้จากดอกและกลีบเลี้ยงจะมีสารแอนโธไซยานินและกรดธรรมชาติที่ชื่อซิตริก เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะช่วยย่อยอาหารประเภทไขมันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังสามารถนำกระเจี๊ยบมาหมักทำไวน์แดง และหากนำไวน์แดงใช้ร่วมกับนมสดชโลมผิวกาย ใบหน้า จะทำให้ผิวพรรณสดใส ลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและหางตา นอกจากนี้ ไวน์แดงยังเหมาะสำหรับทำเป็นน้ำยาที่ช่วยขจัดจุดด่างดำและฝ้าบนใบหน้าได้ดีมาก เพราะมีสารเมือกและกรดธรรมชาติที่สามารถลอกและชำระล้างเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดล่อนออก ใช้ประจำทั้งเช้าและเย็นผิวหน้าจะดูนุ่มนวล สดใส


หากเราจะยกให้กระเจี๊ยบเป็นสมุนไพรชั้นหนึ่งของคนไทยก็คงไม่ผิดนัก เพราะสามารถนำกระเจี๊ยบมาประกอบเป็นอาหาร ให้ทั้งความอร่อยและยังสามารถบำบัดโรคได้ หากจะนำมาดัดแปลงเป็นน้ำดื่มดับกระหายคลายร้อน หรือชาสมุนไพร ที่นอกจากมีรสชาติอร่อยชื่นใจแล้วยังกำนัลด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพของเราอีกด้วย


และที่สำคัญกระเจี๊ยบนั้นสามารถช่วยขับปัสสาวะและช่วยป้องกันนิ่วรวมทั้งโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบอื่นๆ ได้อีกด้วย เนื่องจากปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยป้องกันไม่ให้หินปูนจับตัวเป็นก้อนและยังทำให้ก้อนนิ่วขนาดเล็กๆ หลุดออกมาได้ โดยใช้กลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 ซีซี) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบา และอาการอื่นๆ จะหายไป

Thursday, January 20, 2011

สรุปผลการปลูกเสาวรส


ต้องยอมรับกับสังคมชนบทของไทยครับ ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร เมื่อองค์ความรู้ถูกจำกัดไปที่ชุมชนเมือง สมองที่เกษตรกรส่วนใหญ่ลงทุนไปคือลูกหลานแห่แหนกันเข้าไปประกอบอาชีพในเมืองหมด ทำให้องค์ความรู้ที่สั่งสมมาด้วยกระบวนการศึกษาขั้นปริญญาตรีก็เข้าไปในเมืองด้วย หรือไม่ก็เข้าสู่ระบอบราชการ ที่เมื่อผู้น้อยเข้าไปแล้วก็ต้องหลอมละลายกลายเป็นขี้ข้ากินภาษีไปวันๆ แบกหน้าใหญ่หน้าโตเจอคนเฒ่าคนแก่มีปัญหาก็เบี้ยใบ้รายทางค่อยก้มลงมามอง

ผมโทษรัฐบาลนะแต่ไม่ใช่เน้นไปที่ชุดไหนแต่ทุกชุด แก้ระบบราชการใหญ่กว่าประชาชนไม่ได้สักทีทั้งๆที่ ถ้าไม่มีประชาชนเขาก็ไม่มีเงินเดือน จริงๆแล้วถ้าใครดูคู่เดือดที่ป๋อยืนตะโกนหน้าที่ว่าการ นั่นแหละสิ่งที่ราชการต้องทำ "หน้าที่ข้าราชการ ต้องรับใช้ประชาชน" พวกคุณลืมกันไปหมดแล้วมั้งราชการ

พอแล้วบ่นไปเท่านั้นครับ วันนี้ผมจึงมาขอเชิญชวนประชาชนทุกคนมาพึ่งตนเองแบบในหลวงกันดีกว่าครับ ขอพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ อย่างน้อยผมคนหนึ่งที่ขอน้อมเอาคำสั่งสอนพระองค์มาใช้บ้าง เพราะพ่อหลวงได้ลงมือทำให้กับประชาชนของพระองค์มากกว่า ข้าราชการเสียอีก ผมอาจมีสิ่งที่ได้เปรียบชาวไร่ชาวนาทั่วไปมาก แต่ด้วยวัยวุฒิที่ยังไม่เพียงพอที่จะดึงความสนใจของผู้คนส่วนใหญ่ได้ตอนนี้จึงทำได้แค่ปฏิบัติให้เห็นผลเสียก่อน

บทสรุปเสาวรส ตอนแรกๆที่ผมเริ่มสนใจการปลูกเสาวรสนั้น ไม่ใช่ที่ตัวราคาแต่เป็นตรงส่วนที่พื้นที่ปลูกที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ทำ และอีกประการณืหนึ่งคือตลาดที่ต้อนรับการแปลรูปที่ยังสดใสอยู่ นอกจากนั้นแล้วตัวเสารสเองยังให้ประโยชน์มากมาย สิ่งแรกที่ผมมองคือการแปลรูปส่งไปยังตลาดภายนอกพื้นที่ นี่คือมุมมองของผมเอง ส่วนมุมมองของเกษตรกรทั่วไป เขามองกันแบบนี้ครับ เสารสหรือกระทกรก มีคนปลูกแล้วมีโรงงานมารับซื้อ ราคาดีมาก คืนทุนเร็ว ไม่ต้องดูแลผลผลิตเยอะน่าทำ

คงมองเห็นความต่างของความคิดทั้งสองแล้วนะครับ การมองของเกษตรกรทั่วไปนั้น เราไม่ต้องเดาครับ คนได้เงินคือคนทำคนแรกแน่นอน ส่วนหลังๆ เมื่อโรงงานเห็นว่าตัวเสารสมีจำนวนมากไม่มีทางที่ราคาจะเท่าเดิมเพราะโรงงานต้องการ ลดต้นทุนการผลิตอยู่แล้ว แต่เกษตรกร ยิ่งต้องใส่ปุ๋ยดูแลให้ต้นได้ผลผลิตเยอะเท่าตัว แน่นอนครับปัจจุบัน ราคาของเสาวรสหล่นตุ๊บลงมาเหลือกิโลกรัมละไม่ถึงบาทแล้วทำไม เพราะโรงงานมีความเพียงพอต่อความต้องการ แต่ถามว่าเมื่อเสาวรสล้นตลาดแล้ว โรงงานแปรรูปลดราคาน้ำเสาวรสขวดไหม คำตอบคือไม่ครับใครได้เงินทีนี้ แน่นอนตัวโรงงาน

เวลาแบบนี้คนเรียนสูงๆรับราชการหนีหายไปไหน แต่ละอำเภอมีหน่วยงานเข้ามารับผิดชอบไหมไม่ แล้วเกษตรอำเภอมาทำสำมโนประชากรทำไมแต่ละปีว่าใครปลูกอะไรบ้าง เพียงเอาข้อมูลเข้าไปคำนวณภาษีที่ประชาชนจะจ่าย แค่นั้นหรือ นี่มันระบบข้าราชการขอทานชัดๆ ประเทศไทยหลายมหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรการทำอาหารการแปรรูปอาหาร วิทยาศาสตร์อาหาร การออกแบบผลิตภัณท์ แล้วคนเหล่านั้นหนีหายไปไหน ทำไมไม่ว่าจ้างมาที่อำเภอจัดเป็นหน่วยงานๆๆ มาอบรมเป็นที่ปรึกษาให้คนแต่ละท้องถิ่น จัดการการตลาด จัดให้เป็นผลิตภัณท์ของท้องถิ่น ไปเลย 1รัฐบาลมีโครงการ1อย่างพอเปลี่ยนแล้วอันที่ดีเอาไปทิ้งไหน คนบ้านนอกเขาไม่ด่าหรอกว่าลอกเลียนแบบ รัฐบาลก่อนต่อกันไปเลยพัฒนามันให้ดียิ่งกว่าสิ นี่หว่านเงินเข้ามาเพียงชั่ววูป แล้วคุณก็รู้กันว่าประชาชนคุณบ้านนอกโง่ เพราะหัวกะทิมันอยู่ในเมืองแล้วคุณบริหารในเมืองให้ดียังไงเอาใจคนเมืองมันดีกว่าได้มากกว่าอยู่แล้วนี่

พอแล้วบ่นมามากมาย เข้าเรื่องกันต่อครับ ปัจจุบันเสารสแถวบ้านแทบกวาดทิ้ง ผมละเสียดาย เพราะในต่างประเทศเขาทำทั้งน้ำส้มสายชู ซอส ไวน์ จำหน่ายกันราคาแสนงาม แต่ตอนนี้ที่ภูเรือทิ้งเป็นตันๆ พื้นที่ก็รกร้างไปด้วย ส่วนผมยังขาดต้นทุนการผลิตเพื่อส่งจำหน่ายครับยังทำได้ทีละน้อย คนทั่วไปในชุมชนเราชักชวนก็ไม่มีใครเอาด้วยเพราะว่าเรายังอายุน้อยอยู่

อีกไม่นาน ผมจะเริ่มลองวางจำหน่ายผลิตภัณท์ที่ผมวางแผนไว้เบื้อต้น เป็นการทดลองตลาด ซึ่งถ้ามันสำเร็จผมคิดว่ามันจะช่วยดึงคนในชุมชนเข้ามาเรียนรู้การทำมากขึ้น โดยส่วนนี้จะทำให้คนเหล่านั้นหันมาดูการทำเกษตรแบบที่ผมทำ ที่ในหลวงท่านทรงดำรัชเอาไว้เพื่อให้ชุมชนอยู่ได้และเป็นแนวทางให้น้องๆหลานๆหลายคนเรียนจบแล้วกลับมาที่ชุมชนบ้าง

*.*ปล.สำหรับใครที่อยากติดตามว่าผมจะทำอะไรจำหน่าย เข้าไปแอดผมในเฟสบุ๊คได้ที่ kittikorn_p@hotmail.com