Thursday, December 2, 2010

ประโยชน์ของสตอเบอร์รี่



ปัจจุบันสตอเบอร์รี่สามารถปลูกภายในประเทศไทยของเราได้แล้วในหลายพื้นที่ๆมีอากาศหนาวเย็น ทำให้เราๆท่านๆหาซื้อมารับประทานได้โดยง่าบและราคายังถูกกว่าราคานำเข้าเสียอีก วันนี้เราจะมาดูกันว่าสตอเบอร์รี่มีประโยชน์อะไรบ้างน่ารับประทานแค่ไหน

1.ดูแลสายตา

ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์

เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง

กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง

ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต

หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6.ปราบโรคหัวใจ

ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

แต่การปลูกสตอเบอร์รี่นั้นต้องดูแลเอาใจใส่อย่างมากเพราะเป็นพืชที่มีโรคและสตรูค่อนไปทางเยอะมากมายไม่ว่าจะเป็หนอน ราต่างๆจึงทำให้ผู้ปลูกต้องหันไปพึ่งพาสารเคมีในการดูแลรักษามากตามไปด้วย

ดังนั้นก่อนการรับประทานควรล้างให้สะอาด หรือแช่ในน้ำเกลือก่อนล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนการรับประทานทุกครั้ง ยกเว้นการปลูกเอง หรือทานจากสวนที่ใช้การดูแลแบบธรรมชาติหรือการกางมุ้งจริงๆอันนี้ต้องแน่ใจจริงๆนะครับถึงจะสามารถเด็ดกินจากต้นได้

Tuesday, October 5, 2010

ฟักทองเหลืองอ๋อยแสนอร่อยแสนประโยชน์


ฟักทอง



หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลย

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้


ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

ได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันได้แล้วนะ

Saturday, August 28, 2010

อัปเดทราคา กระทกรก 28 สิงหาคม 2553

ช่วงนี้พ่อค้ากระทกรกที่รับเข้าโรงงานเริ่มวิ่งชนกันอีกครั้ง เปิดราคางวดแรกมาได้ดีทีเดียวครับ

8 บาท/ กก.



แต่ของผมเหี่ยวไปหลาย เถาว์ครับ เหตุเพราะลูกออกเยอะ ก้านรับน้ำหนักไม่ไหว เกิดหักพับครับ เลยทำให้เสียหายไปเหมือนกัน
มาคิดดูถ้าเอาไม้ไผ่มามัดให้เป็นราวให้คงดีกว่านี้ครับเพราะมันน่าจะรับน้ำหนักดีกว่า

Sunday, August 22, 2010

อะโวคาโด อาหารเพื่อสุขภาพ


พอดีที่บ้านแฟนปลูกได้อ่ะ ที่เลยครับผลสุกเยอะมากไม่ได้จำหน่ายครับ เลยเหลือล่วงหล่นทิ้งอื้อเลย มาดูกันสิว่ามันมีประโยชน์ยังไงมั่ง

อะโวคาโด ( Persea americana Mill.) เป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาแถบเม็กซิโก กัวเตมาลา และหมู่เกาะเวสอินดีส อะโวคาโดเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้ผลรับประทานกันมานานในอเมริกาและยุโรป เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ แต่ในประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมบริโภคมากนักเนื่องจากประเทศไทยของเรานั้นมีผลไม้อยู่หลากหลายชนิด จึงมีทางเลือกการบริโภคผลไม้อีกมากมาย ทั้งนี้คนไทยนิยมบริโภคผลไม้ที่มีรสหวาน กลิ่นหอมนุ่มนวล ซึ่งรสชาติ และกลิ่นของอะโวคาโดไม่ได้อยู่ในความประทับใจของคนไทยเลย แต่เมื่อนำมาวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารเมื่อเทียบกับผลไม้อื่นพบว่า อะโวคาโดมีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น จึงถือว่าเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ซึ่งประกอบด้วย




1เถ้าประกอบด้วยแคลเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และแมกนีเซียม จาก Chatfield and Mclaughlin, 1931 เถ้าประกอบด้วยแคลเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และแมกนีเซียม
จาก Chatfield and Mclaughlin, 1931

1. เนื้อผลประกอบด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ประมาณ 4-20% แล้วแต่พันธุ์ โดยกรดไขมันในอะโวคาโด ร้อยละ 70 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิด monounsaturater fatty acid ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยช่วยลดปริมาณ LDL-cholesterol ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นผลเสียต่อร่างกายและเพิ่มปริมาณ HDL-cholesterol ในเลือดซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นผลดีต่อร่างกาย มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจซึ่งเป็นประโยชน์ในการลดไขมันในเส้นเลือดคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงก็บริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้ และใช้ลดน้ำหนักได้ดี เพราะปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่มีน้ำตาลต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจึงสามารถบริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้

2. น้ำมันอะโวคาโด (Avocado oil) เป็นน้ำมันสกัดจากเนื้อของผลอะโวคาโด เป็นน้ำมันที่ดูดซึมสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันอัลมอนด์ และน้ำมันมะกอก ประกอบด้วยวิตามินอี กรดไขมัน linoleic และ oleic, phytosterol ใช้นวดศีรษะเร่งการงอกของผม น้ำมันนี้มีกลิ่นคล้ายเมล็ดถั่ว คงตัวดี น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารก็มีส่วนช่วยให้วิตามิน และสารอาหารที่ละลายในไขมันสามารถถูกดูดซึมนำไปใช้ได้ สลัดผักจำพวกผักใบเขียว อย่างผักโขม เลตตูซ มะเขือเทศ และแครอท ที่ใช้น้ำมันสลัดที่ปราศจากไขมัน จะทำให้คาโรทีนอยด์ที่ละลายในไขมันซึ่งอยู่ในพืชผักเหล่านี้ไม่สามารถูกดูดซึมนำไปใช้ได้ ไขมันที่อยู่ในอะโวคาโดช่วยในการดูดซึมคาโรทีนอยด์ที่ช่วยต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไลโคพีนในมะเขือเทศ เบต้า-แคโรทีนในผักสีส้ม และลูทีนในผักใบเขียว



3. วิตามินสูง ประกอบด้วย วิตามิน เอ(เบต้าแคโรทีน) ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน และโดยเฉพาะวิตามินอี ซึ่งเป็นสาร antioxidant ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทางอากาศ น้ำ และอาหาร ป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ ในผู้ใหญ่ควรบริโภควิตามินอีอย่างน้อย 10 mg ต่อวัน ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโกใช้ผลอะโวคาโดสดสำหรับบำรุงเส้นผมและผิวพรรณมานับพันปีแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้ง ให้นำอะโวคาโดมาบดผสมกับกล้วยหอมสุข และน้ำผึ้ง ในอัตรส่วน 1:1:1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออก คุณก็จะมีผิวพรรณที่ชุ่มชื่นมีชีวิตชีวา และยังใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญเพื่อการสกัดน้ำมันในอุตสาหกรรมทำเครื่องสำอางประทินผิวต่าง ๆ

4. อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโซเดียม โพแทสเซียม โฟเลต ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะโฟเลตนั้น เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากโฟเลตเป็สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อของทารก คนไทยสมัยก่อนใช้กล้วยเป็นอาหารเลี้ยงทารก อะโวคาโดก็เช่นกันสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงทารกได้โดยอาจใช้เนื้ออะโวคาโดสุกป้อนเด็กทารกโดยตรงหรือผสมกับกล้วยน้ำว้าสุกอัตราส่วน 1:1

5. โปรตีนสูงกว่าผลไม้สดอื่น ๆ ประมาณ 0.8 – 1.7 % โดยให้ค่า พลังงานความร้อนต่อร่างกายสูงแต่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเยื่อใยสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย

ประโยชน์มากอย่างนี้หวังว่าคนไทยจะหันมาบริโภคอะโวคาโดกันมากขึ้น โดยสามารถนำอะโวคาโดมาจิ้มน้ำพริกแทนผัก ทำสลัด ไอศกรีม ซูชิ อะโวคาโด-ลอดช่องน้ำกะทิ ทาขนมปังแทนเนย รับประทานกับน้ำตาล รสหวาน มัน โรยเกลือป่นรสจะเค็ม ๆ มัน ๆ เราลองมาทำอาหารอร่อย ที่ปรุงง่ายจากอะโวคาโดกันดีกว่า

AVOCADO BALL SALAD

เครื่องปรุง
กุ้งต้มสุก น้ำสลัดแบบฝรั่งเศส มายองเนส 6 ช้อนโต๊ะ อะโวคาโด 1 ผล น้ำมะนาวฝรั่ง (lemon หาซื้อได้ตามซูปเปอร์มาร์เก็ต) ผักสลัด หรือผลไม้
วิธีทำ
1. นำกุ้งต้มใส่ชามคลุกเคล้ากับน้ำสลัดฝรั่งเศสหมักล่วงหน้าไว้ 1 ชั่วโมง จากนั้นเทน้ำสลัดแยกออกไป แล้วนำมายองเนสมาคลุกกับกุ้งในชาม
2. ล้างผลอะโวคาโดให้สะอาด ไม่ต้องปอกเปลือก ใช้มีดคมผ่าครึ่งผลตามแนวนอน แบ่งสองส่วนออกจากกันแล้วใช้ช้อนตักไอศครีมตักให้มีลักษณะกลม หรือแกะเม็ดออกบีบน้ำมะนาวชะโลมในผลอะโวคาโดแล้วตักส่วนผสมกุ้งกับมายองเนสใส่ลงไปกลางผล กะปริมาณพองาม นำลงวางบนจานแล้วแต่งด้วยผักสลัดที่จะรับประทานด้วยกัน



AVOCADO SALAD PLATE

ส่วนผสม
เจลาติน (ไม่มีกลิ่น) 1 ช้อนชา น้ำสัปปะรด หรือน้ำเย็น 1/4ถ้วย
อะโวคาโดสุก (1 1/2ปอนด์) 1 ผล น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
น้ำหัวหอม 1 1/2ช้อนชา (ถ้าชอบ) น้ำตาล 1/2- 1/4ช้อนชา (ถ้าชอบ)
เกลือ 3/4ช้อนชา มายองเนส 3/4 ถ้วย

วิธีทำ
เลือกผลอะโวคาโดที่สุก และมีลักษณะดี นำมาปอกเปลือก แล้วมาบดผ่านตะแกรง เติมน้ำมะนาว น้ำตาลและเกลือ โรยผลเจลาตินลงในน้ำสับปะรด หรือน้ำเย็น ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วน้ำไปอุ่นในน้ำร้อนจนกระทั่งละลาย แล้วเติมมายองเนส คนให้เข้ากันดี นำไปราดบน อะโวคาโดที่เตรียมไว้ เสิร์ฟได้ทันที

อโวกาโด – ลอดช่อง น้ำกะทิ

ส่วนผสม
อะโวคาโดลูกขนาดพอเหมาะ พร้อมรับประทาน
ลอดช่อง ตัวสีเขียว น้ำกะทิสด
น้ำตาลปี๊ป เกลือ

วิธีทำ
ผสมน้ำตาลปี๊ป และน้ำกะทิ เพื่อทำน้ำกะทิลอดช่อง ทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อต้องการเสิร์ฟ ให้นำอะโวคาโดมาผ่าครึ่ง นำเม็ดในออกใส่ลอดช่อง ราดด้วยน้ำกะทิ ใส่น้ำแข็งได้ตามชอบ

ไอศครีมอะโวคาโด

อะโวคาโดสุก 1 ผล
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 300 กรัม
น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ
ผลไม้ตกแต่งตามชอบ เช่น มะม่วง สตอเบอรี่ ส้ม เป็นต้น


ไอศครีมอะโวคาโด

อะโวคาโดสุก 1 ผล
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 300 กรัม
น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ
ผลไม้ตกแต่งตามชอบ เช่น มะม่วง สตอเบอรี่ ส้ม เป็นต้น
วิธีทำ
นำโยเกิร์ต 300 กรัมใส่ลงในถ้วย นำอะโวคาโดมาผ่าครึ่งแล้วควักเนื้อใส่ลงไปในโยเกิร์ต เพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วนำไปใส่ในเครื่องปั่นทำไอศครีม ใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยผลไม้ตามต้องการ

Friday, May 28, 2010

เริ่มฤดู กระทกรกออกผลผลิต

เข้าเดือนพฤษภาคมแล้ว ค่อนมาปลายเดือนเริ่มมีฝนหลานระลอกเข้ามายังพื้นที่ สีเขียวชอุ่ม เกิดขึ้นเกือบทุกๆที่ใบไม้ผลิตใบกันยกใหญ่รวมทั้ง พรมลอยฟ้าอย่างกระทกรกด้วย เมื่อปีที่แล้ว ที่สวนว่าที่พ่อตาผมเขาลงไว้สักร้อยหลักตอนนี้ เริ่มที่จะเห็นดอกแล้ว บางต้นก็มีลูกแล้วแต่เป็นลูกชุดแรกคงยังไม่มากมายนัก อีกทั้งเครือ เจ้ากระทกรกบางเครือมันก็ไม่ได้คลุมมากมาย ก็จะมีให้เห็นบาง แต่ช่วงนี้หลาย สวนออกกันเยอะเหมือนกัน ผมมาลองสังเกตุการโตของผลมันดูดีๆ มันใช้เวลาน้อยจริงๆถ้ามีน้ำมากๆนี่ จากวันที่ดอกออกสองอาทิตย์มันก็โตเกือบๆจะเท่ากำปั้นเลย อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้กระมังที่ทำให้ การเก็บผลผลิตของกระทกรก ว่ากันเป็นอาทิตย์ต่ออาทิตย์นั่นคือ เก็บผลผลิตทุกอาทิตย์ สิ่งที่ผมอยากรู้อีกอย่างตอนนี้คือ ราคาตามท้องตลาด เมื่อต้นเดือนผมไปซื้อมาทานจากตลาดก็โลละประมาณ 20 กว่าบาทได้ อันนี้เขาขายเป็นลูกนะเอามากินสดๆ โอ้วรสชาติมันถ้าแบบสดๆละก็ยิ่งกว่ามะนาวอีกแต่ขอบอกว่าถ้าเติมน้ำผึ้งสดๆหน่อย ก็อร่อยเหาะเหมือนกัน ตอนนี้ก็รอเก็บผลมัน จะว่าไปไอ้นี่ก็น่าทำนะเพราะไม่ต้องดูแลมากไม่มีการใส่ปุ๋ยให้มากค่าใช้จ่ายเลย แถมไม่ต้องฉีดยาด้วย แต่ก็ต้องดูว่าทางรัฐเขาจะเข้ามาสนับสนุนเรื่องตลาดมากน้อยแค่ไหน หรือจะมัววุ่นแต่ไล่จับแม้วกับ ห่วงเรื่องอำนาจก็ไม่รู้ ส่วนพวกเสื้อต่างๆมันก็บ้าดีเดือด มีตั้งสามสี่ก๊ก โอ้วเยอะกว่าสามก๊กของจีนอีก เฮ้อเหนื่อยสงสัยต้องดำเนินชีวิตตามแบบลุงผาย แล้วสิผมว่า

เดี๋ยวไว้ผมจะมาแก้บทความนี้อีกทีเพราะ ผมกะจะเอารูปที่เป็นผลกะดอกมันมาให้ดู ครับ